🍧วันนี้ทั้ง 2 เซกเรียนรวมกัน อาจารย์ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอรูปแบบการสอนแต่ละรูปแบบ ดังนี้
🍧กลุ่มที่1 เซค101 การสอนรูปแบบไฮสโคป มีทั้งหมด 4 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมสีนำ้
กิจกรรมสีเทียน
กิจกรรมปั้นแป้งโด
กิจกรรมงานประดิษฐ์
🍧และกลุ่มที่1 เซค102 การสอนรูปแบบไฮสโคป มีทั้งหมด 3 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมสีเทียน
กิจกรรมปั้นแป้งโด
กิจกรรมฉีกปะ
รูปแบบการสอนไฮสโคป (High Scope)
🍧ไฮสโคป (High
Scope) เป็นการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย
ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น
โดยการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ
ซึ่งตรงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเปียเจต์
(Piaget) นักการศึกษาที่สำคัญคนหนึ่งของโลก
ความสำคัญในด้านพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน
จะเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) เพราะเด็กจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด ความรู้
ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนอง
แนวการสอนแบบไฮสโคป
(High Scope) เป็นอย่างไร
🍧ไฮสโคป (High
Scope) ใช้หลักปฏิบัติ 3 ประการ คือ
1. การวางแผน (Plan)
เป็นการกำหนดแนวทางการปฏิบัติ
หรือการดำเนินงานตามงานที่ได้รับมอบหมายหรือสิ่งที่สนใจด้วยการสนทนาร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก
และเด็กกับเด็ก ว่าจะทำอะไร อย่างไร
การวางแผนกิจกรรมนี้เด็กอาจแสดงด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูบันทึก
เป็นกระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ
2. การปฏิบัติ (Do) คือ การลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ เป็นส่วนที่เด็กได้ร่วมกันคิด
แก้ปัญหา ตัดสินใจ และทำงานด้วยตนเอง
หรือร่วมกับเพื่อนอย่างอิสระตามเวลาที่กำหนดโดยมีครูเป็นผู้ให้คำแนะนำ
ช่วยเหลือในจังหวะที่เหมาะสม
เป็นส่วนที่เด็กได้มีการพัฒนาการพูดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูง
3. การทบทวน (Review)
เด็ก ๆ
จะเล่าถึงผลงานที่ตนเองได้ลงมือทำเพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่
มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร การทบทวนจุดประสงค์ที่แท้จริงคือ ต้องการให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ
รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง
จุดเด่นของแนวการสอนไฮสโคป
(High Scope)
🍧การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
ในเมื่อหลักการของแนวนี้คือให้เด็กริเริ่มกิจกรรมด้วยตนเอง ดังนั้น
การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศก็จำเป็นต้องเอื้อต่อการเรียนรู้
มีการลื่นไหลของกิจกรรม และทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกระตือรือร้น
1. พื้นที่
ต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม
เพื่อให้เอื้อต่อการเรียนการสอนที่เน้นการเรียนแบบร่วมมือกระทำ มุมสำคัญที่ควรมี
คือ มุมศิลปะ มุมหนังสือ มุมบ้าน มุมวิทยาศาสตร์ มุมบล็อก
2. วัสดุอุปกรณ์
สื่อการเรียนและอุปกรณ์ต้องมีมากพอและหลากหลาย
เพื่อช่วยให้เด็กได้เรียนรู้พัฒนาแผนการทำงาน และดำเนินการตามแผน
3. การจัดเก็บ
เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรการค้นหา-ใช้-เก็บคืน ดังนั้น
การจัดวางสิ่งของในห้องเรียนก็ต้องเอื้อให้เด็กได้เรียนรู้ด้วนตนเอง
ครูต้องจัดวางอุปกรณ์ให้เด็กสามารถค้นหาได้ง่าย สะดวก ปลอดภัย
เด็กสามารถหยิบมาใช้และเก็บคืนได้เอง
กระบวนการทั้งหมดนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กรู้จัดสังเกต เปรียบเทียบ
มีความรับผิดชอบและช่วยเหลือ
ประโยชน์ของแนวการสอนไฮสโคป
(High Scope) ที่มีต่อเด็ก
1.
สอนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น
ซึ่งเริ่มต้นจากความไว้วางใจโยครูต้องเป็นผู้สร้างความไว้วางใจให้แก่เด็กเพื่อให้เด็กได้ลงมือทำกิจกรรมหรือชิ้นงานตามความสนใจของตนเองและมีความสนุกในการเรียนรู้ที่จะทำงาน
2. การลงมือทำงานฝึกให้เด็กวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน
เป็นระบบ
3.
เด็กได้ฝึกสมาธิทำให้เด็กเกิดปัญญา ฝึกความมีระเบียบวินัย ฝึกการคิดอย่างมีความหมาย ผลที่ตามมาคือ
ความสำเร็จในการทำงานที่ได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
ได้เรียนรู้และมีความสุขในการทำงานที่ตนสนใจ
🍧การเรียนแบบ
ไฮสโคป (High Scope) ถือเป็นแนวการเรียนการสอนที่น่าสนใจเพราะเน้นในการพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างแท้จริงไฮสโคป
เป็นการเรียนที่ไม่จำเป็นต้องเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น
คุณพ่อคุณแม่อาจนำแนวทางนี้มาสอนลูกเมื่ออยู่ที่บ้านก็ได้ เพราะการที่เด็กได้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ย่อมสร้างความภาคภูมิใจเมื่อทำสำเร็จ
และฝึกให้ลูกเป็นคนกล้าคิดกล้า มีความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้การทำงานอย่างมีระบบ ขั้นตอน และเรียนรู้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง จึงขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่มาเลี้ยงลูกตามแนว
ไฮสโคป (High Scope)
🍧กลุ่มที่1 เซค101 การสอนรูปแบบโปรเจค หน่วยช้าง มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่1 ถามเด็กในห้องเรียนว่าแต่ละคนต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องอะไร หลังจากนั้นช่วยกันโหวตเรื่องที่อยากเรียนมากที่สุด
ขั้นที่2 ถามคำถามเด็กว่าทำไมถึงอยากเรียนเรื่องนี้และให้เล่าประสบการณ์เดิม
ขั้นที่3 หลังจากที่เด็กเล่นประสบการณ์เดิมแล้วให้เด็กทำกิจกรรมเกี่ยวกับเรื่องที่อยากเรียน
ขั้นที่4 พาเด็กไปนอกสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียน และอาจจะเชิญผู้ที่ความรู้ด้านนั้นมาให้ความรู้เด็ก เด็กจะสามารถหาคำตอบในเรื่องที่อยากรู้ได้
ขั้นที่5 สรุปและจัดโครงการโชว์ผลงานของเด็ก
รูปแบบการสอนโปรเจค (Project Approach)
🍧หลักการ
การเรียนการสอนแบบโครงการ ( Project Approach
) ได้นำแนวคิดของ John
Dewey มาประยุกต์เป็นรูปแบบการเรีนยการสอน โดยมีหลักสำคัญคือ
การพัฒนาเด็กสามารถทำได้ด้วยการให้เด็กเป็นผู้รู้จักแสวงหาความรู้ ความร่วมมือและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อค้นคว้าหาคำตอบในเรื่องที่ตนเองสนใจ
เด็กสามารถสร้างการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ในตัวเด็กเอง
โครงการการคือ
การสืบค้นหาข้อมูลอย่างลุ่มลึก
ตามหัวข้อเรื่องที่เด็กสนใจ
เน้นให้เด็กกระทำอาจเป็นรายบุคคลหรือรายุล่มก็ได้ ดครงการนั้นจะต้องประกอิบด้วยทฤษฏีและหหลักการ มีการดำเนินงานเป็นขั้น ๆ
โดยใช้วิชาหลาย ๆ วิชาที่เกี่ยวข้องมาบรูณาการ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
ระยะเวลาทำโครงการขึ้นอยู่กับเรื่องที่เด็กสนใจ
🍧กระบวนการ
โครงการถือเป็นการเรียนรู้ที่เต็มไปด้วยความหมาย เหมาะกับพัฒนาการเด็ก
เป็นการศึกษาอย่างลุ่มลึกในช่วงเวลาที่สามารถได้ตามความสนใจของเด็ก โดยมีกิจกรรมหลักในการทำโครงการดังนี้
กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน
เป็นกิจกรรมที่เด็กจะใช้ตั้งแต่เริ่มดครงการจนสิ้นสุดโครงการ เพื่อแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันแก้ปะญหาด้วยกัน
กิจกรรมทัศนศึกษา เป็นกิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้สัมผัส รับรู้
สังเกตและมีปฏิสัมพันธ์
จากสิ่งที่ปรากฏด้วยตัวเอง ณ สถานที่จริง
กิจกรรมสืบค้น
เป็นกิจกรรมที่เด็กจะต้องทำการค้นคว้าเพื่อหาข้อความรู้ที่ตนเองต้องการ อาจมาจากหนังสือ บุคคล
สถานที่ Internet ด้วยการอ่าน สอบถาม สนทนา
เพื่อให้ได้ข้อมูลลุ่มลึกสามารถนำมาสนับสนุนโครงการให้บรรลุเป้าหมาย
กิจกรรมนำเสนอผลงาน ซึ่งอาจนำเสนอโดยการอธิบาย บรรยายหรือจัดแสดง เมื่อสิ้นสุดโครงการ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้จากโครงการ
กิจกรรมทั้ง
4 กิจกรรม เด็กจะได้เรียนรู้ในแต่ละระยะของโครงการ ซึ่งมีอยู่
4 ระยะ (
บางตำราแบ่งเป็น 3 ระยะ )
ระยะที่
1 เริ่มต้นโครงการ
เป็นขั้นตอนที่เด็กและครูร่วมกันอภิปรายเพื่อเลือกหัวข้อเรื่องที่จะทำการสืบค้น โดยให้หลักเกณฑ์ดังนี้ เป็นหัวข้อที่เด็กทุกคนหรือเด็กส่วนใหญ่ของกลุ่มสนใจ สัมพันธ์กับประสบการณ์ชีวิตประจำวันของเด็ก เป็นทักษะพื้นฐานของภาษา คณิตศาสตร์
และสามารถบูรณาการวิทยาศาสตร์และศิลปะเข้าด้วยได้ เป็นเรื่องทีเด็กมีโอกาสร่วมมือกันทำงาน ลงมือปฏิบัติ นำมาเล่นสมมติและให้ทักษะต่าง ๆ
จากการเรียนรู้ได้
ระยะที่
2 วางแผนโครงการ เป็นขั้นตอนการกำหนดจุดประสงค์ ขอบเขตเนื้อหาที่ต้องการศึกษา
ระยะเวลาและวิธีการศึกษา
ระยะที่ 3 ดำเนินการ
เป็นขั้นตอนของการดำเนินโคตรงการตามแผนที่กำหนด ระยะนี้ถือเป็นหัวใจของโครงการ ครูจะเป็นผู้จัดหา จัดเตรียมแหล่งข้อมูลให้เด็กสืบค้น
ไม่ว่าจะเป็นของจริง หนังสือ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
หรือแม้แต่การออกไปศึกษานอกสถานที่หรือนัดหมายผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรท้องถิ่น เพื่อให้เด็กทำการสืบค้นสังเกตอย่างใกล้ชิดและบันทึกสิ่งที่พบเห็น อาจมีการเขียนภาพที่เกิดจากการสังเกต จัดทำกราฟ
แผนภูมิไดอะแกรม หรือสร้างแบบต่างๆ สำรวจ
คาดคะเน มีการอภิปราย
เล่นบทบาทสมมติเพื่อแสดงความเข้าใจในความรู้ใหม่ที่ได้
ระยะที่ 4 สรุปผลโครงการ
เป็นระยะสรุปเหตุการณ์ รวมถึงการเตรียมการเสนอรายงานและผลที่ได้ในรูปของการจัดแสดง การค้นพบ
และจัดทำสิ่งต่างๆ สนทนา เล่นบทบาทสมมติ หรือจัดนำชมสิ่งที่ได้จากการก่อสร้าง
ครูจะจัดให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนเรียนรู้กับผู้อื่น
เด็กสามารถช่วยกันเล่าเรื่องการทำโครงการให้ผู้อื่นฟัง โดยจัดแสดงสิ่งที่เป็นจุดเด่นให้เพื่อนในชั้นเรียนอื่น ครู
พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ ผู้บริหารได้เห็น
ครูจะช่วยเด็กเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาแสดง
ซึ่งการทำเช่นนี้เท่ากับช่วยให้เด็กทบทวนและประเมินโครงการทั้งหมด ครูอาจเสนอให้เด็กได้จินตนาการความรู้ใหม่ที่ได้ผ่านทางศิลปะ
ทางละคร
สุดท้ายครูนำความคิดและความสนใจของเด็กไปสู่การสรุปโครงการ
และอาจนำไปสู่หัวเรื่องใหม่ของโครงการต่อไป
🍧กลุมที่3 เซค101 รูปแบบการสอนStem กิจกรรมเรือบรรทุกสินค้า ดังนี้
อุปกรณ์
ดินนำ้มัน เหรียญ ถังที่บรรจุนำ้
ขั้นตอนการทำกิจกรรม
1.ให้เด็กๆปั้นดินนำ้มันบรรทุกสินค้าที่วางในถังที่บรรจุนำ้แล้วไม่จม รอบแรกให้เวลาทำ 2 นาที
2.ให้เด็กๆทำเหมือนเดิม แต่เพิ่มเวลาเป็น 5 นาที
รูปแบบการสอนSTEM
🍧คำว่า “สะเต็ม” หรือ “STEM” เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่
วิทยาศาสตร์ (Science)
เทคโนโลยี (Technology)
วิศวกรรมศาสตร์(Engineering)
คณิตศาสตร์ (Mathematics)
🍧หมายถึงองค์ความรู้
วิชาการของศาสตร์ทั้งสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ
มาบูรณาการเข้าด้วยกันในการดำเนินชีวิตและการทำงาน คำว่า STEM
ถูกใช้ ครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา
(the National Science Foundation: NSF) ซึ่งใช้คำนี้เพื่ออ้างถึงโครงการหรือโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์
อย่างไรก็ตามสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้ให้นิยามที่ชัดเจนของคำว่า
STEM มีผลให้มีการใช้และให้ความหมายของคำนี้แตกต่างกันไป เช่น มีการใช้คำว่า STEM ในการอ้างอิงถึงกลุ่มอาชีพที่มีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์
🍧สะเต็มศึกษา คือ
แนวทางการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ได้แก่ วิทยาศาสตร์
วิศวกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเน้นการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริง
รวมทั้งการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
และการทำงาน ช่วยนักเรียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง 4 สหวิทยาการ กับชีวิตจริงและการทำงาน
การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ไม่เน้นเพียงการท่องจำทฤษฎีหรือกฏทางวิทยาศาสตร์
และคณิตศาสตร์
แต่เป็นการสร้างความเข้าใจทฤษฎีหรือกฏเหล่านั้นผ่านการปฏิบัติให้เห็นจริงควบคู่กับการพัฒนาทักษะการคิด ตั้งคำถาม
แก้ปัญหาและการหาข้อมูลและวิเคราะห์ข้อค้นพบใหม่ๆ
พร้อมทั้งสามารถนำข้อค้นพบนั้นไปใช้หรือบูรณาการกับชีวิตประจำวันได้
🍧การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มมีลักษณะ 5
ประการได้แก่ (1) เป็นการสอนที่เน้นการบูรณาการ (2) ช่วยนักเรียนสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาทั้ง
4 กับชีวิตประจำวันและการทำอาชีพ (3) เน้นการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 (4) ท้าทายความคิดของนักเรียน และ (5) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น
และความเข้าใจที่สอดคล้องกับเนื้อหาทั้ง 4 วิชา
จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักและเห็นคุณค่าของการเรียนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์
และเห็นว่าวิชาเหล่านั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถนำมาใช้ได้ทุกวัน
⸻⸻⸻⸻⸻⸻⸻⸻⸻⸻
🐢Evaluate-Self🐢 ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม ตั้งใจฟัง
🐢Evaluate-Teacher🐢 ให้คำแนะนำที่ดี
🐢Evaluate-Friend🐢 ร่วมกันทำกิจกรรมอย่างเต็มใจ
🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜🐛🐜